พิมพ์

 

 

 
 
 
 

มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ดำเนิน โครงการวิจัยขั้วโลกตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระราชดำริให้นักวิจัยไทยเข้าร่วมการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้วโลก เพื่อพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ขั้วโลกของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ โดยมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ขั้วโลก ระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกับหน่วยงานขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ของจีน (Chinese Arctic and Antarctic Administration : CAA) และบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านการวิจัยขั้วโลกระหว่างหน่วยงานไทย จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับสถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งจีน มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อสร้างความร่วมมือในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับขั้วโลกในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเตรียมการรองรับสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ที่ผ่านมามีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของประเทศไทยได้เดินทางไปศึกษาและทำวิจัยในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ จำนวน 34 คน จำแนกเป็นพื้นที่ขั้วโลกใต้ จำนวน 19 คน และพื้นที่ขั้วโลกเหนือ จำนวน 15 คน โดย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่เสด็จเยือนทวีปแอนตาร์กติก เมื่อพฤศจิกายน 2536

สำหรับในปี 2568 จะมีนักวิจัยไทย จำนวน 3 คน ร่วมเดินทางกับคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติกแห่งจีน คณะที่ 41 ได้แก่

  1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุจารี บุรีกุล อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. นายนิพัธ ปิ่นประดับ ผู้ช่วยนักวิจัย ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  3. ศาสตราจารย์ ดร. สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภาพข่าวและข้อมูล: มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

โดยทีมวิจัยมีแผนการดำเนินงานวิจัยในหัวข้อ ไมโครพลาสติกและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ณ บริเวณสถานีวิจัยเกรทวอลล์ (Great Wall Station) และพื้นที่ใกล้เคียง ทวีปแอนตาร์กติก เป็นระยะเวลา 28 วัน (ระหว่างวันที่ 29 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568) กำหนดการออกเดินทางจากประเทศไทยในวันที่ 26 มกราคม 2568 และจะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันที่ 2 มีนาคม 2568

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร. สุชนา ชวนิชย์ ได้รับมอบหมายให้เก็บข้อมูลเพื่อจัดทำหนังสือและสารคดีเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยขั้วโลกของไทย เนื่องในโอกาสที่ปี 2568 เป็นปีมหามงคล สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระชนมายุ 70 พรรษา ทั้งยังเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกด้วย

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีส่วนร่วมและส่งนักวิจัยเข้าร่วม โครงการวิจัยขั้วโลกตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีรายละเอียดดังนี้

ในปี 2567 สพ.ญ. ดร. คมเคียว พิณพิมาย นักวิจัยของสถาบันฯ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร. ภศิชา ไชยแก้ว อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ ได้เดินทางไปเข้าร่วมศึกษาวิจัยกับคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติกจีน คณะที่ 40 (40th Chinese National Antarctic Research Expedition; CHINARE 40) ของสถาบันวิจัยขัั้วโลกแห่งจีน (PRIC) ณ สถานีวิจัยเกรทวอลล์ (Great Wall Station) ทวีปแอนตาร์กติก ในระหว่างวันที่ 7 มกราคม - 7 กุมภาพันธ์ 2567

 

 

 

ในปี 2566 นายอานุภาพ พานิชผล นักวิจัยของสถาบันฯ และ อ. ดร. สุจารี บุรีกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ร่วมเดินทางกับคณะสำรวจทวีอาร์กติกแห่งจีน รุ่นที่ 13 เป็นเวลา 3 เดือน โดยได้เดินทางด้วยเรือตัดน้ำแข็ง “ซูหลง 2” ของประเทศจีน

ซึ่งการเดินทางเข้าร่วมการวิจัยอาร์กติกทางเรือร่วมกับสถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งจีนดังกล่าว มีประโยชน์ต่อประเทศไทยคือ เป็นการขยายผลงานวิจัยที่ขั้วโลกเหนือของไทยที่ผ่านมาเมื่อ 5 ปีก่อน ที่ได้ทำศึกษาผลของภาวะโลกร้อนและขยะพลาสติกขนาดเล็กที่มีต่อสัตว์ทะเลหน้าดินในมหาสมุทรอาร์กติกบริเวณทางเหนือของหมู่เกาะสวาลบาร์ด ระหว่างเดือนกรกฏาคมถึงเดือนสิงหาคม 2561 และยกระดับความก้าวหน้าของงานวิจัยและนักวิจัยไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมความยั่งยืนของงานวิจัยขั้วโลกและสิ่งแวดล้อมทางทะเลขั้วโลก อันเป็นการสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลในพื้นที่อาร์กติก สามารถนำความรู้ที่ได้มาประกอบการศึกษาอื่นเพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนบริหารจัดการเมื่อต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตต่อไป

หมวด: PolarResearch
ฮิต: 563